อดีตรัฐมนตรี นอร์เวย์ แนะให้ บอยคอตไทย หลังฆาตกรลอยนวล

อดีตรัฐมนตรี นอร์เวย์ แนะให้ บอยคอตไทย หลังฆาตกรลอยนวล

อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม นอร์เวย์ เชียร์ให้ ปชช. บอยคอตไทย หลังจากที่ฆาตกรฆ่าสาวนอร์เวย์ ยังลอยนวลในประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 เมษายน สำนักข่าว Scandasia รายงานว่า อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของประเทศนอร์เวย์ให้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนร่วมบอยคอตประเทศไทย ด้วยการงดเดินทางท่องเที่ยวในไทย หลังจากที่ นาย ฮิโรยุกิ โอกุ ชายชาวญี่ปุ่น ผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าแฟนสาวชาวนอร์เวย์ในประเทศลาวและกบดานอยู่ในประเทศไทย

โดยอดีตรัฐมนตรีคนดังกล่าวชี้ว่า ผู้ต้องหาใช้ชีวิตได้ตามปกติในประเทศไทย 

แม้ว่าองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศจะต้องการตัวเขาก็ตาม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางการในไทย ลาว และ นอร์เวย์ ต่างลงมือเพียงน้อยนิดที่จะพยายามจับกุมชายคนนี้ ซึ่งผู้พูดยังได้ระบุอีกว่า พวกเขาได้มอบข้อมูลที่มีให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในไทย และ ทางการนอร์เวย์แล้ว แต่มันน่าเรื่องน่าเศร้าที่ผู้ต้องหายังไม่ถูกจับกุม

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นาย โอกุ และแฟนสาวชาวนอร์เวย์ได้เดินทางมาเที่ยวที่เกาะพงัน ก่อนที่จะขับรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวที่ลาว ซึ่งในช่วงเวลาที่ทั้งสองพักอาศัยอยู่ที่เกาะพงัน มีรายงานว่ามีผู้ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้ตาย และมีพยานเห็น นายโอกุนำศพของหญิงชาวนอร์เวย์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบร่างผู้เสียชีวิตในป่า ในสองสัปดาห์ถัดมา

ซึ่งประชาชนที่ใช้อินสตาแกรมได้โพสต์ถามว่า ตอนนี้ ไป่ ยังอยู่ในเรือนจำใช่หรือไม่ ทางอินสตาแกรมของไป่ ตอบว่า เขายังอยู่ในเรือนจำตอนนี้ เพียงแต่ออกมาจากศาล เมื่อวานนี้ ด้านเพจแฟนคลับของนายแบบคนดังกล่าว ก็ได้มีการเรียกร้องให้ร่วมมือกัน เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวไป่ ทาคนจากการกักกันจากเรือนจำ ซึ่งในนั้นเขาได้รับประทานอาหารเพียง วันละ 1 มื้อ

ก่อนหน้านี้พี่สาวของไป่ ทาคน ถูกทหารและตำรวจควบคุมตัวไปเมื่อเช้ามืดของวันที่ 8 เม.ย ที่ผ่านมา ในข้อหา ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนกระด้างกระเดื่องต่อรัฐ หลังจากที่ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของนาง อองซานซูจี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคของ สหรัฐฯ ได้ออกมาอนุญาตให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่จำเป็นต้อง สวมแมสก์ เมื่ออยู่นอกบ้านหรือที่คนไม่พลุกพล่าน ขณะที่ ปธน. ย้ำอย่าเพิ่งทิ้งแมสก์ สหรัฐ หน้ากากอนามัย – เมื่อวันที่ 28 เมษายน สำนักข่าว ABC รายงานว่า นาย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย พร้อมระบุว่าประเทศสหรัฐอเมริกามีความคืบหน้าที่เหลือเชื่อในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดยในการแถลงครั้งนี้ผู้นำสหรัฐฯยังได้ออกมาเปิดเผยมาตรการใหม่ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC ที่อนุญาตให้ประชาชนที่รับวัคซีนต้านโควิดครบโดสแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่นอกเคหสถาน หรือ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการรวมตัวกันอย่างแน่นหนา เช่นงาน คอนเสิร์ต หรืองานกีฬา

ซึ่งนายไบเดนระบุว่า หากประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิดแล้ว จะสามารถทำกิจกรรมได้มากกว่าและปลอดภัยกว่าประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนต้านโควิด นอกจากนี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯยังได้วอนให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนให้เข้ารับฉีดวัคซีนอีกด้วย

บลูมเบิร์ก จัด อันดับรับมือโควิด ไทยร่วง 4 อันดับ

ประเทศไทยร่วง 4 อันดับ หลังสำนักข่าวชื่อดังจัด อันดับรับมือโควิด ขณะเดียวกันสิงคโปร์แซงหน้านิวซีแลนด์ แชมป์เก่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน สำนักข่าว บลูมเบิร์ก ได้ทำการจัดอันดับ ประเทศที่สามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด จากทั้งหมด 53 เขตเศรษฐกิจของโลก ประจำเดือนเมษายน

โดยประเทศไทยนั้น ได้คะแนน 66.7 อยู่อันดับที่ 13 ร่วงลงมา 4 อันดับ หลังจากที่ในช่วงอันดับที่ผ่านมาอยู่ที่อันดับที่ 9 ถูกเวียดนามและฮ่องกงแซงหน้าขึ้นไป นอกจากนี้ในการจัดอันดับยังระบุว่าปัจจุบันในประเทศไทยได้ทำการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเพียงร้อยละ 0.8 เท่านั้น

ส่วนที่ 1 นั้นเป็นประเทศสิงคโปร์ที่แซงหน้านิวซีแลนด์ขึ้นไป และเป็นครั้งแรกที่ประเทศสิงคโปร์โค่นนิวซีแลนด์ที่เป็นแชมป์มานานหลายเดือนอีกด้วย โดยทางบลูมเบิร์กให้สาเหตุว่าสาเหตุที่สิงคโปรืขยับขึ้นมา เนื่องจากประเทศสิงคโปร์ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วกว่า 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด

ปัจจุบัน สามารถลดการแพร่ระบาดรายวันได้เกือบเป็นศูนย์ ผลจากการบริหารจัดการชายแดนและนโยบายกักกันโรคที่เข้มงวด ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ 

ในขณะเดียวกันโปแลนด์เป็นประเทศที่รั้งท้ายในการจัดอันดับครั้งนี้ ตามมาด้วยบราซิลที่อยู่อันดับรองโหล่ ส่วนอินเดียที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่วิกฤติต่อเนื่อง อยู่อันดับที่ 30 หล่นลงมา 10 อันดับจากเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้นายไบเดนยังคงย้ำเตือนให้ประชาชนอย่าเพิ่งทิ้งหน้ากากอนามัย เนื่องจากในปัจจุบันประชากรสหรัฐฯที่ฉีดวัคซีนต้านโควิดแล้วยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของประเทศ และย้ำอีกครั้งว่ามาตรการดังกล่าวจะใช้กับประชาชนที่ฉีดวัคซีนต้านโควิดครบโดสแล้วเท่านั้น ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกามียอดผู้ป่วยสะสมเกือบ 33 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสแล้ว เกือบ 6 แสนศพ

เครดิต : รีวิวซีรี่ย์เกาหลี | ลายสัก | รีวิวร้านอาหาร | โทรศัพท์มือถือ ราคาถูก | เรื่องย่อหนัง